วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

กระบวนการวางแผนการเงินและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง

1.3 กระบวนการวางแผนการเงินและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง (Financial Planning Process)

 1. กำหนดเป้าหมาย
- เราจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทราบจุดประสงค์ของการวางแผนทางการเงิน
เพราะหากเราไม่มีการกำหนดเป้าหมาย ต่อให้เราสามารถหารายได้ได้มากขนาดไหน เราก็ยังไม่ทราบอยู่ดีว่าเรากำลังเดินไปสู่อะไร เปรียบเสมือนการเดินทาง หากเราไม่มีเป้าหมาย แค่ขับรถออกมาจากโรงจอดรถ ก็ไม่รู้จะไปทางไหนต่อแล้ว

2. รวมรวมข้อมูล
- เราต้องรวบรวมข้อมูลของตัวเองก่อน ว่าตอนนี้สถานะเราเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้หา Action ว่าจะไปสู่เป้าหมายอย่างไร ข้อมูลที่เราต้องรวบรวมก็ได้แก่
2.1 ข้อมูลเชิงคุณภาพ : Life style, อาหารการกิน, สุขภาพ ฯลฯ
2.2 ข้อมูลเชิงปริมาณ : สถานะทางการเงินปัจจุบัน, รายรับ, รายจ่าย, ภาระหนี้สิน ฯลฯ

3. วิเคราะห์ข้อมูล
- ต้องวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของเป้าหมาย, มีเรื่องอะไรให้กังวล ฯลฯ

4. จัดทำแผนทางการเงิน
- วางแผนว่าจะทำอย่างไรเพื่อเข้าสู่เป้าหมาย

5. ลงมือปฎิบัติตามแผน
- เมื่อวางแผนเป็นอย่างดีแล้ว ให้ลองปฎิบัติตามแผนอย่างคร่งครัด

6. ติดตามและทบทวน (Monitoring & Review)
- เมื่อลองปฎิตามแผนที่ได้วางไว้แล้ว ลองตรวจเช็คเป็นระยะว่สามารถทำได้ตามแผนหรือไม่ มีอุปสรรคใดทำให้ไม่สามารถทำตามแผนได้รึเปล่า
- มี condition อะไรเปลี่ยนไป ทำให้แผนต้องมีการปรับปรุงหรือไม่
- หากพบว่าไม่สามารถทำตามแผนได้ แม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว หรือทำแล้วไม่มีความสุข อาจจะต้องมีการปรับเป้าหมายใหม่

สำหรับกระบวนการวางแผนทางการเงิน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนสำคัญได้แก่
1. สร้าง (Wealth creation) ได้แก่
- การจัดระบบการเงิน : การทำบัญชีรายรับรายจ่าย
- การบริหารหนี้
- การบริหารสภาพคล่อง

2. ปกป้อง (Wealth protection) ได้แก่
- การเตรียมเงินก้อนสำหรับกรณีฉุกเฉิน (Emergency fund)
- การทำประกัน (Insurance)

3. สะสม (Wealth accumulation) ได้แก่
- การลงทุน (Invest) : ลงทุนด้วยตัวเอง, ซื้อกองทุนรวม, ซื้ออสังหาริมทรัพย์, ลงทุนในหุ้น
- สิทธิทางภาษี

4. ส่งมอบ (Wealth distribution) ได้แก่
- ส่งมอบพินัยกรรม
- กำหนดผู้รับผลประโยชน์

- เมื่อเราวางแผนทุกอย่างอย่างรอบคอบดีแล้ว การดำเนินกิจกรรมต่างๆก็จะเป็นไปอย่างมั่นใจ ไม่หลงทางมีการตรวจเช็คเป็นระยะว่าแผนที่ดำเนินการมา ได้ทำอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามแผน นอกลู่นอกทางหรือไม่

- ตัวหน่วยงานที่เราต้องไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างในกระบวนการวางแผนทางการเงิน



ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=1F2HiF5GP3E

ทำไมต้องวางแผนทางการเงิน(2)

1.2 ทำไมต้องวางแผนทางการเงิน(Why Financial Planning)

ตอนนี้จะขอพูดถึงอิสรภาพทางการเงิน(Financial freedom)ครับ

หลายปีมานี้ เราคงได้มีโอกาสได้ยินคำว่า "อิสรภาพทางการเงิน" กันอยู่บ่อยๆนะ
ทีแรกผมก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรเหมือนกัน แต่ได้ยินแล้ว เอาไปพูดกับคนอื่นแล้วรู้สึกเท่ห์ดี 555

ซึ่งหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้หลายเล่มอยู่
ผมก็พอจะสรุปได้ดังนี้ครับ

อิสรภาพทางการเงิน หมายถึง การที่เรามีรายได้มากพอที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆโดยที่เราไม่ต้องทำงาน

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงนึกออกง่ายๆตื้นๆก็คือ ผมนำเงินไปฝากธนาคารไว้
แล้วก็นำเงินดอกเบี้ยจากเงินฝากนั้น มาจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ นึกออกแค่นั้น
(ถ้าเราเกิดมารวยเลย พ่อแม่มีเงินเตรียมไว้ให้ 20,000,000 บาท นำเงินไปฝากแบงค์
ร้อยละ 2 ต่อปี ได้ดอกปีละ 400,000 บาท ตกเดือนละ 3 หมื่นกว่าบาท
ซึ่งถ้าเราใช้พอ ก็เรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงินแล้วครับ ง่ายๆเท่านี้เอง
แต่เชื่อเถอะ คนมีเงินระดับ ยี่สิบล้าน ค่าใช่จ่ายเดือนละสามสี่หมื่นคงเอาไม่อยู่หรอก)

แต่เมื่อสักเดือนก่อนผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือชื่อ "เปลี่ยนชีวิตสู่ความมั่งคั่งร่ำรวย"
ของคุณ จักรพงษ์ เมษพันธุ์ "Money coach"
เค้าได้ให้นิยามไว้ได้อย่างน่าสนใจทีเดียวครับ
"การมีชีวิตที่มีอิสระทางความคิด โดยไม่มี 'เงิน' เป็นเครื่องพันธนาการ
ทำอะไร ตัดสินใจอะไร ไม่ต้องเอา 'เงิน' เป็นที่ตั้ง ไม่เลือกทำงานบางอย่างเพราะได้เงินเยอะ
เกี่ยงงานบางอย่างเพราะได้เงินน้อย หรือไม่ทำเลย เพราะไม่ได้เงิน" ประมาณนี้ครับ
สนใจอ่านเต็มๆ ไปหาซื้อได้เลยครับผม

แต่ในบทนี้ขอพูดถึง Financial Freedom ในนิยามแรกละกันนะครับ
เพราะมันสามารถมองเห็นเป็นตัวเลข คำนวณได้ วางแผนได้

ก่อนอื่นขออธิบายคำศัพท์ 2 คำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กันหน่อยครับ

1. Active Income : รายได้ที่เกิดจากการทำงาน เอาแรงกาย แรงใจ สมอง สองมือ เวลาไปแลกมา
หยุดทำเมื่อไหร่ก็ไม่มีรายได้

2. Passive Income : รายได้ที่เกิดจากออกแรงลงทุนในสินทรัพย์บางอย่าง, ค่าลิขสิทธิ์, ดอกเบี้ยเงินฝาก
เงินปันผลจากหุ้น ฯลฯ คือเป็นรายได้ที่ไม่ต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อไปแลกมานั่นเอง

ยกตัวอย่าง เราไปลงทุนซื้อคอนโดห้องหนึ่ง ปล่อยเช่าได้เดือนละ 20,000 บาท โดยเราต้องผ่อนชำระธนาคารเดือนละ 15,000 บาท เงินส่วนที่เหลือ 5,000 บาทนั่นคือ Passive Income ครับ

ซึ่งลักษณะของสินทรัพย์ (Asset) ที่จะก่อให้เกิด Passive Income ได้ก็ได้แก่
1. Performing asset : Asset ที่ตัวมันทำงาน
2. Growth asset ; Asset ที่เติบโต
3. Income Paying asset : Asset ที่จ่ายรายได้ได้

เพื่อความเข้าใจเบื้องต้นขอยกตัวอย่าง วิธีการคำนวณแบบง่ายๆไม่ซับซ้อนเรื่อง Passive Income ประกอบความเข้าใจครับ

ยกตัวอย่าง
หลังเกษียณ ผมต้องการ มีรายได้ 20,000 บาท/เดือน สำหรับค่าใช้จ่ายประจำวันทั่วไป
หากผมมีเงินเก็บ 5,000,000 บาท ต้องหาทางลงทุนเพื่อให้มีผลตอบแทนอัตราเท่าไหร่ ??

ต้องการ 20,000 บาท/เดือน = 240,000 บาท/ปี
ดังนั้นผลตอบแทน = 240,000/5,000,000 = 4.8%
นั่นคือเราต้องหา"เครื่องมือ"บางอย่าง มาทำให้ทรัพย์สินของเรา ทำผลตอบแทน 4.8% ให้ได้
ส่วนจะเป็นอะไรนั้นก็ติดตามกันต่อไปครับ

จะเห็นว่าเรื่องนี้มีตัวแปรอยู่ 3 ตัว

1. ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ :
- ถ้าข้อนี้เรามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนยิ่งต่ำเท่าไหร่ การมีอิสรภาพทางการเงินก็จะมีทางเกิดขึ้นง่ายเท่านั้น
ดังนั้นช่วงที่ยังหนุ่มสาว พยายามก่อหนี้น้อยๆนะจ๊ะ

2. เงินเก็บที่สามารถนำมาสร้าง Passive Income ได้ :
- วางแผนทางการเงินตั้งแต่อายุน้อยๆจะทำให้อะไรๆเป็นไปได้ง่ายขึ้นครับ

3. ความสามารถในการหาผลตอบแทนจากสินทรัพย์นั้น
- รีบศึกษาหาความรู้เรื่อง"การลงทุน"ในสินทรัพย์รูปแบบต่างๆ
จะทำให้ทราบว่า การลงทุนรูปแบบใด สามารถ ทำผลตอบแทนมากน้อย เท่าไหร่


ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=SqhWZQU_h4U

ทำไมต้องวางแผนทางการเงิน(1)

1.1 ทำไมต้องวางแผนทางการเงิน (Why Financial Planning)

หัวข้อนี้เราพูดถึงความจำเป็น(Need)ในเรื่องของ"การวางแผนทางการเงิน"กันครับ

ถ้าพูดถึงการวางแผนทางการเงินผมอยากเริ่มต้นด้วยเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญมากๆ
ซึ่งผมเองก็ไม่เคยคิดถึงมาก่อน นั่นคือ
หลังจากเลิกทำงานหรือมีรายได้ประจำแล้วผมควรมีเงินไว้ใช้หลังเกษียณเป็นจำนวนเงินเท่าไหร ???

ผมลองคิดแบบง่ายๆไม่ซับซ้อน ไม่ต้องคิดเรื่องเงินเฟ้อ,เรื่องดอกเบี้ยจากการฝากเงินหรือการลงทุนอะไร แค่อยากรู้จำนวนเงินคร่าวๆว่าต้องเตรียมสักเท่าไหร่จึงจะพอใช้อย่างไม่ลำบากมากนัก

สมมติว่าผมกะว่าจะเลิกทำงานตอนอายุ 60 ปี
และจะมีชีวิตหลังจากนั้นสัก 20 ปีละกัน

ผมอยากมีเงินใช้แบบชิวๆ กินอาหารโน่นนี่ ใช้ชีวิตคุณภาพไม่แย่จนเกินไปนัก
ตีว่าสัก 20,000 บาทต่อเดือนละกัน
ดังนั้นต้องมีเงินเก็บเท่ากับ
20,000 บาท/เดือน x 12 เดือน x 20 ปี = 4,800,000 บาท
อ่านว่า สี่ล้านแปดแสนบาท !!!!!
(กรี๊ดด ตอนนี้ยังมีเงินเก็บแสนกว่าบาทเองนะ !!!!)

ทีนี้ลองมาคิดแบบชีวิตจริงขึ้นมาอีกหน่อย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราให้เราต้องเหนื่อยมากกว่าที่คิดก็คือ"เงินเฟ้อ"ครับ

เงินเฟ้อคืออะไร ???
ถ้าอธิบายแบบบ้านๆ ก็คือ เงินจำนวนเท่ากัน ณ เวลาปัจจุบันจะมีกำลังซื้อน้อยลงในอนาคต
หรือพูดง่ายๆก็คือ เราต้องจำนวนเงินที่มากขึ้น เพื่อที่จะใช้ซื้อสิ่งของแบบเดียวกันในอนาคต
หรือเอาที่ง่ายกว่านั้นคือ ข้าวของ สินค้า ค่าใช้จ่าย ค่าบริการต่างๆ จะแพงขึ้น นั่นเอง !!!

ลองมาดูตัวอย่างกันครับ



ข้าวหอมมะลิ 5 กก. เมื่อปี 2546 ราคาถุงละ 130 บาท
ผ่านมา 10 ปี ปัจจุบัน ข้าวหอมมะลิแบบเดิม ราคาทะยานมาถึงถุงละ 200 บาท !!!
คิดเป็นอัตราเงินเฟ้อ 4.5%

วิธีการคำนวณ

F = P[(1+f)^n]

F = มูลค่า,ราคา ในอนาคต
P = มูลค่า, ราคา ในปัจจุบัน
f = อัตราเงินเฟ้อต่อปี
n = จำนวนปี

สูตรนี้ใช้ในกรณีหากเราอยากทราบค่า ราคาสินค้าของข้าวของต่างๆในอนาคต
หากเราทราบค่าอัตราเงินเฟ้อของสินค้านั้นๆ (โดยอาจหาข้อมูลจากอดีต เพื่อทำนายอนาคต)

ในกรณีที่เรามีข้อมูลราคาสินค้าในอดีตถึงปัจจุบัน และเราต้องการทราบ
อัตราเงินเฟ้อเราก็สมารถคำนวณได้โดยใช้สูตร

f = [(F/P)^(1/n)]-1
(ดูเหมือนยากนะ แต่กดเครื่องคิดเลขตามนี้ก็ออกเลยนะจ๊ะ)

ลองกดเครื่องตามดู กรณีข้าวสารด้านบนดูครับ

f = [(200/130)^(1/10)]-1 = 0.044 = 4.4%

ที่ว่าไปนั้นเป็นตัวอย่างค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันครับ

ที่นี้ลองมาดูค่าใช้จ่ายสำคัญที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ และน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงอีกอย่าง
คือค่ารักษาพยาบาลครับ


จากตัวอย่าง จะเห็นว่าค่ารักษาพยาบาลนี่ไม่ใช่เล่นๆนะครับ
ถ้าลองประมาณการตัวเลขดูจะเห็นว่า
"10 ปีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า"ครับผม - -"

ลองกดเครื่องคิดเลขตามสูตรดูนะ

ส่วนเสริม
ถ้าอยากทราบว่าอัตราเงินเฟ้อเท่าไหร่จึงทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็น 2 เท่าในระยะเวลา 10 ปี
ใช้สูตรคำนวณเดิม

f = [(F/P)^(1/n)]-1

โดยจากโจทย์ F/P = 2, n = 10
f = [2^0.1]-1 = 0.0717 = 7.17%
หรือสรุปได้ว่า "อัตราดอกเบี้ยเงินเฟ้อ 7% ต่อปี ทำให้ สินค้าแพงขึ้น 1 เท่าตัวในระยะเวล 10 ปี" นั่นเอง

ในชีวิตคนเราอย่างน้อยๆน่าจะมีโอกาสได้เข้าห้อง ICU 1 ครั้ง (เรื่องจริงที่ต้องยอมรับนะ)
ผมยกตัวอย่างเคสกลางๆ ให้เป็นค่าใช้จ่าย 200,000 บาทละกัน

ขอยกตัวอย่างตัวผมเอง ซึ่งตอนนี้อายุ 35 ปี

อีก 10 ปีข้างหน้า อายุ 45 มีค่าใช้จ่าย 200,000 x 2 = 400,000 บาท
อีก 20 ปีข้างหน้า อายุ 55 มีค่าใช้จ่าย 400,000 x 2 = 800,000 บาท
อีก 30 ปีข้างหน้า อายุ 65 มีค่าใช้จ่าย 800,000 x 2 = 1,600,000 บาท
อีก 40 ปีข้างหน้า อายุ 75 มีค่าใช้จ่าย 1,600,000 x 2 = 3,200,000 บาท

เฮ้ย !!!! ไม่ใช่เล่นๆแล้วนา

ลองดูตัวอย่างสินค้าในชีวิตประจำวันอื่นๆดูครับ

ให้พอเห็นอนุภาพของเจ้า"เงินเฟ้อ"พอให้สะดุ้งเล่นกันครับ

ถ้าใครขี้เกียจกดเครื่องคิดเลขผมมีตารางสำเร็จรูปมาให้ใช้ครับ


เจ้าอัตราเงินเฟ้อที่ 3.5% นี้เป็นอัตราที่ไม่สูงและไม่ต่ำจนเกินไปครับ
สามารถนำมาคำนวณจำนวนเงินคร่าวๆได้ตามความเป็นจริงครับผม

วกกลับมาที่เรื่องเงินค่าใช้จ่ายหลังเกษียณที่ได้ลองคำนวณไปตอนต้น
ผมตีค่าใช้จ่ายกลมๆ(สำหรับตัผมเอง) ที่ 20,000 บาท/เดือน
รวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด 20 ปีก็เท่ากับ 4,800,000 บาท
ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่ได้คิดถึงอัตราเงินเฟ้อครับ

ที่นี้ลองคำนวณแบบมีค่าเงินเฟ้อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ดูว่าเงินที่ผมต้องเตรียมไว้เป็นค่าใช้จ่าย ต้องเป็นเท่าไหร่กันแน่ ??

ตอนนี้ผมอายุ 35 ปี อีก 25 ปี อายุ 60 ปี ตั้งจะหยุดทำงาน

F = P[(1+f)^n] = 4.8[(1+0.035)^25] = 11.34 ล้านบาท !!!!!

ถ้าผมเริ่มเก็บเงินตั้งแต่วันนี้เลยก็เหลือเวลาอีก 25 ปีในการหาเงินจำนวนนี้มาให้ได้
ต้องเก็บเงินปีละ 11.34/25 = 0.45 ล้านบาท = 450,000 บาท/ปี
หรือเดือนละ 37,8000 บาท !!!!
คุณพระ นั่นมันเท่ากับเงินเดือนปัจจุบันผมเลยนะ
ไม่ต้องกินต้องใช้กันพอดี - -"

ที่กล่าวมาทั้งหมดพอจะเห็นความสำคัญของการ "วางแผนทางการเงิน" และความร้ายกาจของเจ้า "เงินเฟ้อ"กันมาบ้างรึยังครับ

เนื้อหาบทนี้ไม่ได้ต้องการให้เกิดความตระหนก หรือตื่นกลัวอนาคตจนเกินไปครับ
แค่อยากให้ตระหนัก (Awareness) กันเกี่ยวกับการใช้เงินในปัจจุบันก็เท่านั้นเอง

ใครตระหนักก่อน รู้ตัวก่อนก็ไม่เหนื่อยมากในการหาเงินเพื่อให้เพียงพอสำหรับอนาคต
ใครรู้ตัวช้าอย่างผม ก็เหนื่อยหน่อย แต่ก็ยังดีที่รู้ตัว

ส่วนวิธีการต่างๆเพื่อให้บบรลุเป้าหมายเองก็มีกระบวนการ มีขั้นตอน ระเบียบวินัย
วิธีการของมัน

ก็ลองตามๆอ่านบล็อคไปเรื่อยๆละกันครับ

ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=bGK6nYR5ppA

Fundamental of Financial Planing

1. Fundamental of Financial Planing


เนื้อหาของบทนี้จะเป็นภาพรวมของการวางแผนการเงินส่วนบุคคล (Personal Financial Planning) เริ่มตั้งแต่เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องวางแผนทางการเงิน ปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงแนวคิดและเครื่องมือต่างๆที่สามารถนำไปใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน

โดยจะแบ่งเนื้อหาเป็น 4 ตอน

1.1 ทำไมต้องวางแผนทางการเงิน (Why Financial Planning) : ความจำเป็นทางการเงิน(Need)
1.2 ทำไมต้องวางแผนทางการเงิน (Why Financial Planning) : อิสระภาพทางการเงิน(Want)
1.3 กระบวนการวางแผนทางการเงินและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
1.4 เป้าหมาย, การตั้งเป้าหมาย และสิ่งที่ควรจะได้หลังการวางแผนทางการเงิน

สิ่งที่จะได้หลังจากอ่านบทความชุดนี้

- เป้าหมายทางการเงินที่ดีเป็นอย่างไร
- ทำไมเราต้องกลัว และให้ความสำคัญกับ"เงินเฟ้อ"
- อิสระภาพทางการเงินวัดได้อย่างไร
- กระบวนการ"สร้าง-ปกป้อง-สะสม-ส่งมอบความมั่งคั่ง" คืออะไร


ที่มาของการเขียนบล็อคนี้

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนคนนึงทีไม่เคยมีการวางแผนการใดๆในชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน การเงิน ครอบครัว สุขภาพ ฯลฯ

ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ตอนนี้อายุจะ 35 แล้ว
มีเงินเก็บยังแค่หลักแสนบาทต้นๆ
สินทรัพย์ที่พอจะมีอยู่ก็ได้แก่ คอนโด 1 ห้อง มูลค่า 2 ล้านบาท เพิ่งผ่อนไปได้ 2 แสนบาท - -"
บวกกับประกันชีวิตที่จ่ายประมาณปีละ 6 หมื่น
จ่ายมาได้ 7-8 ปีแระ

โชคดีที่มีภาระ 2 อย่างนี้ ไม่งั้นเงินที่หามาได้คงใช้หมดเกลี้ยง

จนมาวันนึงผมก็รู้สึกว่า มันคงถึงเวลาที่ผมต้องเรียนรู้เรื่องการเงินจริงๆจังๆ ซักที

ผมก็ได้บังเอิญเจอเว็บไซท์ๆหนึ่งชื่อว่า A-Academy
www.a-academy.net

คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินจริงไปนักว่า เว็บไซท์นี้เปลี่ยนชีวิตผมจริงๆ

เนื้อหาส่วนใหญ่(น่าจะเกิน 90%)
ผมก็นำเนื้อหาจะไฟล์วิดีโอที่คุณเอเค้าทำไว้ มาอยู่ในรูปแบบบทความสรุปสาระสำคัญๆ
ไว้มาอ่านทบทวน และตั้งใจว่าจะแนะนำให้น้องๆเข้ามาอ่าน
หวังว่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆต่อไปครับ

และนี่เป็นที่มาของการเขียนบล็อคนี้ครับ